แล้วพระเจ้า.. ก็นำเอาความหวานของเกสรดอกไม้ นำเอาความแปรปรวนของกระแสลม นำเอาความปราดเปรียวของกวาง นำเอาความดุร้ายของเสือโคร่ง นำเอาความลึกลับของทะเลมารวมกัน แล้วพระองค์กล่าวว่า.. ....จงเป็นผู้หญิง!!
1 ส.ค. 2556
เมื่อพร้อมจะเข้าใจ ปัญหาก็พร้อมจะลดลง
ช่วงนี้ ถือว่าเป็นช่วงขาขึ้นของอารมณ์
เท่าที่สังเกตตัวเอง
ดีใจที่สามารถตัดความหม่นหมอง ข้องใจ และความโกรธที่เกิดขึ้นได้
เร็วกว่าเมื่อก่อน
(เกิดขึ้น และมีอยู่ตามปกติ เพียงแต่ตัดออกไปได้เร็วกว่าปกติ)
โดยเฉพาะกับคนรัก
ต้องยอมรับว่า ผ่านระยะเวลามา 2 ปีกว่าๆ
ยิ่งคุ้นเคย ยิ่งรู้จักทุกซอกมุมของนิสัย ใจ สันดาน
มันยิ่งทำให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีเรื่องราวต่างๆ กระทบ
รุนแรงขึ้น
ความเกรงใจกันลดลง
จึงเปิดเผยสิ่งที่คิด สิ่งที่เป็นออกมา
โดยไม่คิดจะปิดบังอำพรางอะไรกันอีก
ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หญิงเอาแต่ใจ
และอ่อนไหว
ตามประสา
บางเรื่องอาจมีเหตุผล
แต่บางเรื่อง..อย่าถามถึงมันเลย
ถึงมี ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะไม่ใช้มัน
และปล่อยให้อารมณ์พาไป
อย่างเต็มที่
ข้าพเจ้าเป็นเช่นนั้นเสมอมา
กับแฟนคนที่ผ่านๆ มา
รักแค่ไหน
ก็นิสัยเดิม
พวกเขาแตกต่างจากคนรักคนปัจจุบันตรงที่
เขายอมข้าพเจ้า
ยอมโดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ
พวกเขาอาจคิดว่า
การเข้าใจผู้หญิง
เป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถของบุรุษเพศ
และอะไรยอมได้ก็ยอมไป
ง้อได้ก็ง้อ
เอ่ยคำขอโทษได้ โดยไม่จำเป้นต้องรู้ว่าตัวเองผิดอะไร
หรือแม้กระทั่ง
พูดมันออกมาโดยที่ไม่ได้รู้สึกสักนิดว่าตัวเองผิด
แต่นั่นแหละ
การกระทำเช่นนั้น
มันคือการตบตา
เป็นของหลอกลวง
เป็นสิ่งไม่จริง
และที่ร้ายที่สุดคือ
มันยิ่งทำให้ทั้งสองฝ่าย ห่างกันไป ทุกวันๆ
ความเข้าใจจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้เลย
เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีอารมณ์เป็นที่ตั้ง
ฝ่ายหนึ่งอารมณ์น้อยใจ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หึงหูดับตับไหม้
อีกฝ่ายก็ยอมๆ ไป เพราะอารมณ์ "รำคาญ"
คำแก้ตัวที่ฟังดูดีของผู้ชายก็คือ
พูดอะไรไป เขาก็ไม่ฟัง
ถึงฟังก็ไม่เข้าใจ
ถึงเข้าใจก็ทำไม่ได้
ก็ยอมๆ ไปซะ ขอโทษไปซะ จะได้จบๆ กัน
นั่นแหละ
ได้จบกันจริงๆ
รักครั้งนี้ แตกต่างจากรักที่ผ่านๆ มา
เป็นรักที่ยาวนานที่สุด
จะนานต่อไปอีกเท่าไหร่ เป็นเรื่องของอนาคต
ไม่มีใครตอบได้
หลังจากพายุอารมณ์ผ่านไป
(การกระทบกระทั่งที่ทำให้ข้าพเจ้าร้องไห้หนักหน่วงและยาวนานที่สุด
เล่าไว้ในบันทึกหมายเลข 5 แต่ไม่ได้แบ่งปันสู่สาธารณชน
เพราะยังมีความเขินอายอยู่มาก ฮ่าๆ)
ใช่ว่าทะเลจะสงบได้ทุกวัน
บางสิ่งยังคาใจข้าพเจ้า
เมื่อพยายามสลัดออก
แต่ไม่อาจทำได้
ก็ต้องล้าง ต้องเคลียร์ใจ
ข้าพเจ้าเป็นคนชอบท่องเที่ยว
ชอบเดินทาง
ชอบไปเจอสถานที่ใหม่ๆ
หรือไม่ใหม่ แต่เป็นที่ที่มีอะไรสักอย่างให้สัมผัส
ข้าพเจ้าไม่ชอบการอุดอู้อยู่ในห้อง
และเกลียดห้องสี่เหลี่ยมในระดับรุนแรง
ข้าพเจ้ารู้สึกว่า การขังตัวเองอยู่ในห้องสี่เหลียม
มันดูดพลัง
ข้าพเจ้ามักไม่ได้ทำอะไร นอกจากนอน
และอ่านหนังสือ
แต่อ่านหนังสือนั่นส่วนน้อย
เพราะจะรู้สึกง่วงทั้งวัน
นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ
ข้าพเจ้าไม่ชอบใจเลยที่ตัวเองเป็นเช่นนั้น
มันดูเสียเวลาไปอย่างไร้สาระ
คนใกล้ตัวข้าพเจ้าอาจชินตากับภาพข้าพเจ้านั่งหลับในห้องเรียน
ที่มีแอร์เย็นๆ
หรือห้องประชุม สัมมนา ที่เราเป็นแค่คนฟัง
เสียงพูดของวิทยากรกับแอร์เย็นๆ
ทำข้าพเจ้าหลับมานักต่อนัก
ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไปเป็นสตาฟค่ายอ่าน เขียน เรียน คิด
พี่ที่เป็นสตาฟด้วยกันถึงกับเอ่ยปากถามว่า
จ๊ะโอ๋นั่งนิ่งๆ อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ ไม่ได้จริงหรือ
เนื่องจาก แม้ข้าพเจ้าจะสนใจในสิ่งที่วิทยากรพูดมากแค่ไหน
ข้าพเจ้าก็ตาปรืออยู่ดี
เอากะมันสิ
ความจริง ข้าพเจ้าเคยอยู่ได้นะ
ห้องสี่เหลี่ยมน่ะ
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ปี 1 กับปี 2
ข้าพเจ้าก็อยู่ห้องสี่เหลี่ยม
เพียงแต่มันกว้าง
มีเตียง 2 เตียง และมีพื้นที่ใช้สอยอีกเยอะ
เตียงหนึ่งกระจัดกระจายไปด้วยหนังสือ
อีกเตียงก็ใช้นอน
มีบ้างที่หนังสือรุกรานทั้งสองเตียง
แหะๆ
ถ้าให้วิเคราะห์ ก็คงเพราะ นั่นไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
ที่อุดอู้และมีเพียงอากาศจากแอร์หมุนเวียนไปมา
ห้องนั้นไม่มืด ไม่อึมครึม
ดูโปร่งๆ โล่งๆ
แต่เมื่อสมัยมาอยู่อพาร์ตเมนท์ที่พระราม 3
ข้าพเจ้าก็ไม่อาจอยู่ได้
หมายถึง อยู่ในห้องทั้งวัน อุดอู้ทั้งวัน
ข้าพเจ้าสอบเนติฯ
ยังต้องหอบสังขารไปนั่งอ่านที่มารวย
หรือหาที่ๆ มีสายลมเอื่อยๆ ปะทะหน้า
ให้ได้หายใจหายคอคล่องหน่อย
จึงจะอ่านได้นานๆ
ข้าพเจ้าเกลียดห้องสี่เหลี่ยม
(เพิ่มคำขยายนามว่า ที่อุดอู้ อึมครึม แอร์เย็น)
นั่นเป็นนิสัยที่แก้ยากเหลือเกิน
ส่วนคนรักของข้าพเจ้า
เขาชอบความสงบ
รักความเงียบ
อยู่ในห้อง เปิดแอร์ (เขาไม่ถูกกับพัดลม เพราะลมมันเป่าหน้าเป่าตา)
นอน
อ่านหนังสือ
เขียนงาน
นั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากทำในวันหยุดสุดสัปดาห์
ดูสิ
มีเรื่องเหมือนกันร้อยแปดพันเก้า
จนคิดว่าคนนี้แหละ เข้ากันได้ที่สุดแล้ว
ก็ยังมีความแตกต่าง (ที่ค่อนข้าง) ใหญ่หลวงจนได้
ข้าพเจ้าชวนเขาไปเที่ยวบ่อยๆ
หาดีล หาโปรโมชั่นที่พัก เพื่อไปพักผ่อนในวันหยุด
เขาดูรายละเอียดบ้าง
แต่ไม่ค่อยอินังขังขอบอะไร
มีออกความเห็นบ้าง
แต่ก็ไม่ได้แสดงความสนใจเท่าใดนัก
ภาพที่เห็นใน facebook ที่เราไปเที่ยวกันหลายที่นั้น
เป็นสถานที่ๆ เขาอยากพาข้าพเจ้าไป
เพราะเขาเคยไปและคิดว่ามันดี
ก็เท่านั้น
ข้าพเจ้าก็นึกอยู่ว่า
สถานที่เช่นนั้น หมดลงแล้ว
เราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอีกไหม
หรือไม่ สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้น
เราก็ไป เพราะถือว่า
เมื่อเราต้องเดินทางไปทำธุระที่ใดแล้ว
ก็อย่าให้ไปเสียเที่ยว
ไปทำธุระ ทำการงานด้วย เที่ยวด้วยเสียเลย
เอาให้คุ้ม
แต่วันหนึ่ง
เขาไปพบรุ่นน้องที่คณะ
กลับมา ข้าพเจ้าก็เห็นใน facebook ว่า
เขาหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว
หาอย่างละเอียด ดูช่วง วันเวลา ว่าไปช่วงไหน
เขาสนใจ และถึงกับเป็นคนค้นข้อมูลเอง
ข้าพเจ้าไม่มีคำใดจะแทนความรู้สึกได้
มันน้อยใจ เสียใจ ช้ำใจ
กับคนอื่น กระตือรือร้นที่จะไป
กับเรา...
ข้าพเจ้าเก็บความคลางแคลงใจนั้นไว้
เขาอาจรู้ แต่ก็ไม่สนใจเช่นเดิม
จนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดว่า ต้องพูดมันออกไป
เก็บเอาไว้ในอกคนเดียว
ไม่มีทางจะยกออกไปได้แน่นอน
ข้าพเจ้าจึงบอกเขาไปตามตรง ว่ารู้สึกเช่นไร
เขาบอกว่า เขาไม่ได้คิดจะไปกับพวกนั้นเลย
แค่ช่วยหาข้อมูลเท่านั้น
เขาไม่ชอบการไปเป็นคณะกับคนหมู่มากอย่างนั้น
และถามย้อนข้าพเจ้าด้วยว่า
"แพรวาก็รู้ไม่ใช่หรอ ว่าพี่ไม่ชอบอยู่กับคนเยอะๆ
ยิ่งผู้หญิงเยอะๆ ยิ่งไม่ชอบ มากคน มากความ"
คำอธิบายนี้ ข้าพเจ้ารับฟัง
แล้วเราก็เคลียร์กันว่า
เมื่อเขาเป็นมนุษย์ Introvert
ชอบอยู่เงียบๆ สงบๆ
ในขณะที่ข้าพเจ้า Extrovert อย่างแท้จริง
(เขาเคยบอกไว้นานแล้ว
ว่าข้าพเจ้าไม่เหมาะกับงานออฟฟิศ
และการอยู่นิ่งๆ ย่ำอยู่กับที่
และข้าพเจ้าจะมีพลังเมื่อได้ออกไปที่ต่างๆ)
เราก็คงไปกันไม่ได้
เพราะฉะนั้น
เขาก็เป็นเขา
และข้าพเจ้าก็เป็นข้าพเจ้า
เขาก็อยู่ในความสงบต่อไป
ส่วนข้าพเจ้า ก็จะปลดปล่อยตัวเอง
เพราะเมื่อก่อน
หลายที่ๆ ข้าพเจ้าอยากไไป
หลายกิจกรรมที่ข้าพเจ้าอยากทำ
แต่ไม่ได้ไป ไม่ได้ทำ
เพราะเขาไม่อยากไป เขาไม่อยากทำ
แต่ต่อจากนี้
หากข้าพเจ้าได้ยินหัวใจเรียกร้องสิ่งใด
ข้าพเจ้าจะไม่ลังเลอีกแล้วที่จะเดินตามมันไป
ไปค้นหาบางสิ่ง
ไปพบเจอบางอย่างที่ข้าพเจ้าต้องหรือสมควรได้พบเจอ
ไปเรียนรู้โลกกว้าง
ไปเติมพลังให้ตัวเอง
เราอาจมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลง
แต่นั่นก็ดีแล้วนี่นา
ให้เราได้ยืน ได้เดินในวิถีของตัวเองกันบ้าง
เราอาจเป็นคนๆ เดียวกัน
แต่ลมหายใจ ก็ยังของใครของมัน
ข้าพเจ้าดีใจ
ที่ตัวเองไม่งอแง
ขอให้เขาไปด้วยในที่ๆ ข้าพเจ้าอยากไป
ข้าพเจ้าดีใจ
ที่เอาแต่ใจน้อยลง
และข้าพเจ้าดีใจ ที่เราได้คุยกัน
อย่างเข้าใจ
ป.ล. เริ่มจาก วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม ไปปลูกป่าชายเลนละ
แม้ไม่มีคนที่รู้จักไปด้วย ข้าพเจ้าก็ไม่หวั่น
เมื่อมีเพื่อนร่วมทางอีกตั้ง 99 คน
ใครบางคนบอกไว้ไม่ใช่หรือ
"โลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้า มีเพียงเพื่อนที่ยังไม่ได้พบเท่านั้น" ^^
และ ข้าพเจ้าอยากไปประเทศลาว กับอาสาอิสระ
แต่ติดที่ยังไม่สามารถลงทะเบียนได้
เพราะไม่มีเงิน ฮ่าๆๆ
คงต้องรอลุ้น ถ้าวันที่ 15 คนยังไม่เต็ม
ข้าพเจ้าไปแน่นอน
(ยังไม่พ้นโปร ได้เงินเป็นวีค วีคสิ้นเดือนก็ค่าใช้จ่ายทั้งหลาย เงินเก็บก็เผลอไปฝากไว้กับคนรักเสียหมด
ที่ไม่หมดก็อยู่ในบัญชีกองทุน ที่ไม่อยู่ในบัญชีกองทุน ก็ไม่พอ ให้มันได้อย่างนี้สิน่า
วางแผนการเงินไม่รอบคอบ จะตกยากเช่นนี้เองนะคะ ฮ่าๆๆ)
ด้วยรัก
แกะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น