6 ส.ค. 2556

ถ้ามีความกล้า..ที่เหลือก็แค่พาฝ่าเท้า..เดินไปตามเสียงหัวใจ



เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

4 สิงหาคม 2556

ข้าพเจ้าไปร่วมกิจกรรมของอาสาสมัครกลุ่มหนึ่ง

"ปลูกป่าชายเลน" 

เนื่องในวโรกาสวันแม่แห่งชาติ



ข้าพเจ้าเคยปลูกป่าชายเลนครั้งหนึ่ง

เมื่อนานมาแล้ว

ตั้งแต่สมัยเรียน ม. ปลาย

แล้วไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ ที่สัตหีบ

พี่ๆ ทหาร วิทยากรค่าย เขาก็พาปลูกป่าชายเลนพอเป็นพิธี

เลนเล็กๆ เลอะนิดๆ

ก็สนุกดี

ในความทรงจำของข้าพเจ้าเกี่ยวกับป่าชายเลนมีแค่นั้น

แต่ก็รู้มาบ้าง

จากการเรียนการสอนวิชาชีววิทยา

ว่าป่านี้ มีความสำคัญยังไง




ข้าพเจ้าลงชื่อไปคนเดียว

จากนั้นก็ส่งคำชวนไปให้เพื่อนๆ พี่ๆ ประมาณ 3-4 คน

นัยว่าหาเพื่อนไปด้วย

แต่ความจริง ข้าพเจ้าสมัครและจ่ายเงินไปเรียบร้อยครบขั้นตอนของการลงทะเบียนแล้ว

สรุปคือ จะมีใครไปด้วยหรือไม่ ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไป



สุดท้าย ก็เลยไม่มีใครไป (ฮ่าๆๆ)

ไม่เป็นไร

ความจริง (อีกนั่นแหละ)

ข้าพเจ้าก็ประสงค์ในใจลึกๆ ว่าอยากไปคนเดียว

ไปโดยไม่รู้จักใคร

ไปหาเพื่อน หาคนรู้จักใหม่ๆ




เปล่าเลย ข้าพเจ้าไม่ได้อยากมีเพื่อน พี่ น้อง ลุง ป้า บลา บลา บลา เพิ่มเติม

ข้าพเจ้าแค่อยากเดินทาง

อยากพบปะผู้คน

เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของตัวเอง

เพื่อดูความรู้สึกและความคิดของตัวเอง

ไปละลายพฤติกรรมตัวเอง

ว่างั้น




ข้าพเจ้าเตรียมอุปกรณ์ค่อนข้างพร้อม

ได้รองเท้าบูทและปลอกแขนจากน้องที่น่ารักที่ทำงาน

(ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ ว่ายังไม่ได้คืนน้องเลย ฮ่าๆๆ)

เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน

อุปกรณ์อาบน้ำครบครัน

กล้องถ่ายรูป สมุดบันทึก ปากกาคู่ชีพ

ข้าพเจ้าทำตัวเองให้พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่สุด

ความจริง การไปค่ายหรือร่วมกิจกรรมของข้าพเจ้าแต่ละครั้ง

ก็ประมาณนี้แหละ

เมื่ออยากไป เราก็มีชัยไปกว่าครึ่ง

(เอ๊ะ คติอะไรของแกฟระ)




ป้ายยืนยันตัวตันสำหรับกิจกรรมนี้ บัดนี้ ได้เละเป็นขี้เลนไปแล้ว ฮ่าๆๆ




Let's Go!!! ไปกันเต๊อะ ^^




กิจกรรมครั้งนี้ ถือว่าจัดได้ค่อนข้างดี

ทีมงานมืออาชีพมากๆ

รถออกตรงเวลาเป๊ะ

กิจกรรมค่อนข้างเป็นไปตามกำหนดการ



การปลูกป่าชายเลนครั้งนี้

เดิมที จะเปิดรับอาสาสมัครแค่ 50 คน

แต่มันพิเศษตรงที่

มีน้องๆ จากมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิตมาร่วมแจมด้วย

รวมเป็นประมาณ 100 ชีวิต

ร่วมเดินทางไปด้วยกัน

รถบัส 2 คัน มุ่งหน้าสู่ชลบุรี




ไปถึงพื้นที่ที่เราจะลงปลูกป่า

ข้าพเจ้าแอบตกใจ ไม่คิดว่าจะเป็นป่าชายเลนที่กว้างขวางขนาบข้างหมู่บ้านเช่นนั้น

ความจริง

ข้าพเจ้าเคยผ่านที่ตรงนั้น ชุมชนนั้นหลายครั้งแล้ว

เพราะอยู่แถวๆ ศาลแรงงานชลบุรี นั่นเอง

แต่ไม่ยักเคยสังเกตว่า มันคือป่าชายเลน

เหอๆ




ต้นกล้า 500 ต้น กับอาสาสมัครรวมทั้งสิ้น 100 ชีวิต

คนละ 5 ต้น

เหมือนจะง่าย

แต่เปล่าเลย

การปลูกน่ะ ไม่ยากหรอก

แต่จะเดินลุยโคลนเลนไปให้ถึงตำแหน่งที่จะปลูกนี่สิ

ทุกลักทุเรศ เย้ย ทุเลกันสุดๆ

โคลนประมาณต้นขา

เลยก้นขึ้นมาในบางจุด

การก้าวขาเป็นไปได้ยากยิ่ง




ข้าพเจ้าไม่ได้ใส่บูทที่น้องเอามาให้

เพราะโคลนลึกเกินไป

ใส่ไปก็มีแต่ดูดแข้งดูดขามากขึ้นเท่านั้น

จึงใส่เพียงถุงเท้า และกางเกงขายาวเท่านั้น




และดันทะลึ่ง ไปลงตรงจุดที่มันลึกที่สุด

ปัดโธ่ อะไรดลใจหนอ ฮ่าๆๆ




ข้าพเจ้าลังเลก่อนที่จะลงอยู่พอสมควร

ไม่ใช่กลัวเปื้อน กลัวเดินไม่ไหว หรือโดนดูดเหมือนพี่ๆ ที่ลงไปก่อนหน้า

แต่กำลังดูว่า จากจุดที่ยืนนั้น

เป็นหินตัด สูงพอสมควร

และข้างล่างเป็นก้อนหินแหลม มีเปลือกหอยเกาะเต็มไปหมด

จะลงอีท่าไหนให้ไม่เจ็บตัวตั้งแต่ยังไม่ลุยโคลนดีหนอ

เอิ้กๆ

และต้นกล้าที่ได้รับ

พี่ที่หยิบให้ก็ใจดีมาก

ซัดมา 6 ต้น

ต้นละเมตรกว่า

ป๊าดดดด แขนเกือบเคล็ด ฮ่าๆๆ





พอทำใจ และลงไปได้ด้วยดี

โดยความช่วยเหลือของพี่ผู้ชายท่านหนึ่ง

และพี่ผู้หญิงอีกท่านที่คอยรับเราจากด้านล่าง

ก็ออกเดินโคลนกัน

แม่เจ้า..ไม่ลองไม่รู้ ของอย่างนี้ต้องลงลุยเอง

ฮ่าๆๆ



เสียงตะโกนโวยวายมาเป็นระลอกๆ

แต่ก็เป็นการโวยวายที่ฮาๆ และมีความสนุกสนานเจือปนอย่างเข้มข้นทีเดียว

จุดที่ข้าพเจ้าลง เป็นจุดที่น้องๆ ผู้ชายจาก RBAC มาลงด้วยนั่นเอง

ความจริง น้องๆ ไม่ได้ตั้งใจมาลงจุดนี้หรอก

แต่ได้ข่าวว่า พี่สต๊าฟเห็นน้องๆ แสบกันเหลือร้าย

เลยเอามาลงให้หายซ่าส์กันซะ

ฮ่าๆๆ

ได้ผลดีนักแล



ตอนลุยๆ กันนี่เอง

มิตรภาพก็บังเกิด

รอยยิ้มกระจาย

เสียงหัวเราะมาเป็นสาย

และแม้แต่ละคนก็แทบจะเอาตัวกันไม่รอด

แต่เมื่อตั้งหลักได้สักหน่อย

และมีคนที่อ่อนแอกว่า

ก็ไม่มีใครรั้งรอที่จะยื่นมือไปดึงกันขึ้นมาเลย




มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง น้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ

เลยจมโคลนอย่างหนัก และหมดแรงที่จะยกขาก้าวขึ้นมาได้อีก

พี่ๆ หลายคน ทั้งผู้ชายผู้หญิง ต้องมาลาก มาถู มาฉุด มาดึงกันอยู่นาน

เห็นน้ำใจกันก็คราวนี้แหละ

ข้าพเจ้าชื่นชมทุกคนที่อยู่ในสายตา

และขอบคุณทุกๆ คนที่ช่วยข้าพเจ้าจากใจจริง




ความจริง ข้าพเจ้าเดินลุยโคลนเลนนั้นได้

โดยความสามารถของตัวเอง

(แอบภูมิใจนิดๆ และแปลกใจตัวเองหน่อยๆ ว่ารอดมาได้ไง)

จะมีให้ช่วยดึงก็ 2 ครั้ง (คือ แม่ม ไม่ไหวแล้วจริงๆ อ่ะ กร๊ากๆ)

อาจเพราะน้ำหนักตัวที่ไม่มาก เลยไม่ได้โดนดูดเยอะ

แต่ก็ถือว่าสาหัสเอาการเลยล่ะ




ข้าพเจ้ากลับขึ้นฝั่งได้

ด้วยรอยหอยบาดยาวประมาณ 3 นิ้ว 1 รอย

และเสี้ยนจากไม้ตำนิ้ว 1 จุด

ที่เหลือ..มีแต่รอยประทับแห่งความทรงจำที่สวยงาม



ขึ้นมาได้ ก็ล้างตัว

ใช้คำว่าล้างตัว ไม่ได้อาบน้ำ

เพราะไม่มีห้องน้ำ และมีเพียงรถบริการน้ำจากเทศบาล

มาเปิดน้ำให้ได้ล้างตัวกันชั่วคราวเท่านั้น

เครื่องอาบน้ำที่เอาไปด้วย ก็นอนนิ่งไปในกระเป๋านั่นแล



แต่ไอ้โคลนนี่

เหม็นสุดทน

อาจถึงขั้นเหม็นบัดซบกันเลยทีเดียว

โดยเฉพาะตอนลง

เพราะป่านั้น เป็นชายเลนที่เน่าใช้ได้เลย

ข้างล่าง นอกจากเนื้อโคลนเลน

ก็จะเป็นช่องว่าง เป็นที่อยู่ของแก๊สเน่าๆ

กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย

เราย่ำๆ กันไป

ถ้าไปตกตรงจุดที่มีแก๊สเยอะๆ

ก็จะเกิดเสียงปู๊ด ป๊าด ขึ้นมา

เป็นเสียงตด ดังสนั่นหวั่นไหวกันเลยทีเดียว

ฮ่าๆๆ

แต่ไม่ใช่แค่เสียง

กลิ่นก็ลอยขึ้นมาด้วย

ข้าพเจ้าเกือบกระฉอกขนมปังออกมาประมาณ 2 รอบ

แล้วเดินๆ ไป

งานนี้ ต้องบอกว่า ลุยไปแต่ข้างหน้า มองไกลๆ เท่านั้น

อย่าก้มลงมองโคลนเลนที่อยู่ตรงหน้าเด็ดขาด

ใครใจไม่แข็งพอ ได้กรี๊ดสลบกันล่ะ



หนอนตัวแดงๆ (เขาเรียกอะไรไม่รู้นะ)

ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

เจ้าหอยก็ไม่น้อยหน้า

แต่เจ้าหอยนี่ไม่ค่อยเท่าไหร่

สีมันยังกลมกลืนกับโคลน

เจ้าหนอน หรือไส้เดือน (สักอย่างอ่ะ) ตัวแดงๆ นี่สิ

เห็นชัดดีแท้

เอิ่ม..ใครที่กำลังกินข้าวอยู่ ขออภัยด้วยค่ะ

เอาเป็นว่า

ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจตัวเองจริงๆ

ที่ลุยไปลุยกลับโคลนเน่าๆ

และหนักหน่วง ทรหด เช่นนั้นได้

เป็นความเข้มแข็งและพลังงานแฝงที่นานๆ ทีจะได้รู้ว่าตัวเองก็มีอยู่เหมือนกัน




ล้างตัวเสร็จก็ขึ้นรถ

เตรียมไปอ่างศิลา

และนอนลั้ลลากันริมหาดบางแสน

แต่ข้าพเจ้า อยากกลับบ้านเต็มทน

ความสนใจของข้าพเจ้า

มีอยู่เพียงกิจกรรมภาคเช้านี้เท่านั้น

หาดบางแสนสำหรับข้าพเจ้า

เหมือนคนรู้จักมักคุ้น

ที่ไม่ค่อยมีเสน่ห์ดึงดูดกันสักเท่าไหร่แล้ว

เว้นแต่จะได้ไปเยือนกับคนที่อยากไปด้วยเท่านั้น



อย่างไรเสีย

ต้องขอบคุณตัวเอง

ที่พาตัวเองไป ^^



ป.ล. ข้าพเจ้าได้ของที่ระลึกมาเป็นดอกมะลิเนื่องในโอกาสใกล้วันแม่แห่งชาติ

นัยว่าให้อาสา เอาไปติดอกเสื้อให้แม่อีกที (อันนี้ อาสาได้กันทุกคน)

กับ เสื้อจิตอาสา 1 ตัว (อันนี้ได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น) ข้าพเจ้าได้จากการเล่นเกม ^^





ต่อไปนี้เป็นภาพบรรยากาศเล็กๆ น้อยๆ





แวบแรกที่เห็น (แต่เราไม่ได้ลงพื้นที่ฝั่งนี้นะฮะ)




อ้างว้างและกว้างใหญ่มากอะไรมาก











นี่ค่ะ สภาพจริงๆ ที่เราลงกัน ดูตาเปล่า เละใช้ได้ ลงไปจริง เละเป็นบ้า ฮ่าๆๆ






นี่ตื้นๆ นะฮ๊า ยังก้าวกันลำบากสุดๆ จุดที่ข้าพเจ้าลง ไม่ต้องสืบเลยฮ่ะ เหอๆ





ข้าวกล่อง กินกันตาย บนรถบัส ระหว่างทางไปช้อปปิ้งที่อ่างศิลา 

ปกติข้าพเจ้าไม่กินหมูกระเทียม แต่วันนั้น ข้าวมื้อนี้ อร่อยมว้ากกกก




ป.ป.ล. หลายคนถามข้าพเจ้าว่า ทำไมถึงไป ไปคนเดียว โสด? ทะเลาะกับแฟน? 

ข้าพเจ้าไม่โสด ข้าพเจ้ามีคนรัก 

และไม่เห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ข้าพเจ้าจักต้องพาคนรักไปในทุกที่ที่ข้าพเจ้าอยากไป

เราไปด้วยกันในทุกที่ที่เราอยากไปอยู่แล้ว 

แต่ตัวข้าพเจ้าก็ยังมีลมหายใจของตัวเอง 

มีความปรารถนาส่วนตัวของตัวเอง

มันเป็นความต้องการของข้าพเจ้า

เป็นชีวิตของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าไป ก็เพียงเพราะอยากไป

เท่านั้นเอง





ขอบคุณหัวใจที่เรียกร้อง

และขอบคุณสองเท้าที่ก้าวไป



ด้วยรัก

แพรวา




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น