ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์
สัจธรรมง่ายๆ ใครๆ ก็รู้
แม้จะรู้ว่าทุกข์ สุดท้าย คนส่วนใหญ่ ก็เลือกที่จะรัก
อย่างน้อย การทุกข์เพราะรัก
ก็อาจจะบางเบากว่าทุกข์เพราะต้องทนอยู่กับความเหงา
ทุกวัน ทุกคืน
.
.
แต่ก็ใช่ว่า มีรักแล้วจะไม่เหงา
มีรักแล้วจะไม่ทุกข์เพราะความโดดเดี่ยว
ถึงยังไง คนที่เรารัก ก็ไม่อาจอยู่เคียงข้าง
บำบัดความเหงาให้เราได้ตลอดเวลา
บางคนถึงพูดว่า มีแฟนก็เหมือนไม่มี
เพราะถึงมีใครเคียงข้าง ก็ใช่ว่าคนๆ นั้น จะทำให้ความเหงาเจือจางไป
ในยามที่มันคุกรุ่นอยู่ในความรู้สึก
หรือแม้กระทั่ง หากเลวร้ายกว่านั้น
เขาอาจไม่รับรู้ ถึงความสั่นไหวของหัวใจเราเลยก็ได้
.
.
เราอาจทรมาน
โดยไม่แน่ใจนัก ว่าเหงาเพราะไม่มีใครจริงๆ
กับเหงาทั้งที่(คิดว่า)ยังมีคนเคียงข้าง
อย่างไหน จะเจ็บปวดและทุกข์มากกว่ากัน
เอาเป็นว่า ขึ้นชื่อว่าเหงา
ใครก็ไม่ปรารถนาทั้งนั้น
แม้บางคนจะพยายามคิดบวกสุดชีวิต
ให้ความเหงาเป็นเพื่อนบ้างล่ะ
ยิ้มให้ความเหงาบ้างล่ะ
ทำตัวให้ชินกับความเหงาบ้างล่ะ
คำพูดเหล่านั้น ความจริงก็เป็นแค่วิธีคิดแบบหยาบๆ
สำหรับจัดการกับความเหงา
ไม่ให้มันทำร้ายเรามากจนเกินไป
ไม่ให้เราต้องมานั่งเศร้า ร้องไห้ฟูมฟาย
เพียงเพราะ "เหงา"
เพียงเพราะไม่อาจยอมรับได้ว่า
ตัวเองกำลังอ่อนแอแค่เพราะ กำลังเหงา
.
.
แต่สำหรับฉันในตอนนี้
ไม่มีหรอก ยิ้มให้มัน
ไม่มีการทักทาย สวัสดี หรือ เรามาเป็นเพื่อนกันนะ
ฉันไม่ปรารถนาเป็นมิตรกับความรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนั้น
ฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับความทุกข์อันเนื่องมาจากความเหงา
และฉันอาจโยนความผิดให้มันซึ่งๆ หน้า
ถ้าใครสักคนเห็นฉันนั่งร้องไห้
แล้วถามว่าฉันเป็นอะไร
ฉันจะตอบตรงๆ ไปเลยว่า
"ฉันเหงา..ความเหงาทำร้ายฉัน"
เหงาจนร้องไห้ เหงาจนไม่อยากทำอะไร
เหงาจนกลายเป็นเบื่อ
เหงาแล้วเหนื่อยหน่ายกับชีวิต
เหงาแล้วอยากนอน แบบไม่ขยับ หรือลุกไปไหน
เหงาจนไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น
นั่นแหละ ฉันร้องไห้เพราะความเหงาจริงๆ
.
.
โปรดอย่าถามว่า
"อ้าว ถ้างั้นจะเหงาทำไมล่ะ"
.
.
ไม่มีใครอยากเหงา
และไม่มีใครตอบได้จริงๆ ว่าทำไมถึงเหงา
อาจมีคนยืนอยู่ข้างๆ นอนข้างๆ นั่งข้างๆ
อาจอยู่ท่ามกลางฝูงชน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เขาเหล่านั้น
จะสามารถเติมเต็มช่องว่างในหัวใจ
.
.
จงเติมคำในช่องว่าง
ต้อนรับเฉพาะคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น